โศกนาฏกรรมนองเลือด ณ เมืองมิวนิก ในระหว่างมหกรรมกีฬาโอลิมิคฤดูร้อน ครั้งที่ 20
เมื่อกล่าวถึงมหกรรมกีฬาโอลิมปิคฤดูร้อน
เชื่อว่าหลายคนคงจะนึกถึงการแข่งขันกีฬากระชับมิตรระหว่างประเทศต่างๆที่เข้าร่วมการแข่งขัน
หรือบางคนอาจจะตั้งหน้าตั้งตารอคอยเชียร์กีฬาที่ตนเองชื่นชอบ
แต่จะมีใครคาดคิดเล่าว่า มหกรรมกีฬาโอลิมปิคฤดูร้อนครั้งที่ 20 ปี 1972 ที่จัดขึ้น
ณ เมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนี (หรือที่เรียกกันว่าเยอรมนีตะวันตกในขณะนั้น)
จะกลายมาเป็นโศกนาฏกรรมนองเลือด โอลิมปิคแห่งความเศร้า
อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์โอลิมปิค
มหกรรมกีฬาโอลิมปิคฤดูร้อนครั้งที่ 20 ปี 1972 นั้นเป็นมหกรรมกีฬาที่จัดขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่2
เป็นช่วงที่สถานการณ์ในยุโรปตกอยู่ในสภาวะของความตึงเครียด
อันเป็นผลจากความเสียหายมาจากสงครามโลกครั้งที่2
และความกดดันทางการเมืองที่เกิดจากประเทศมหาอำนาจ 2 ฝ่าย คือ สหรัฐอเมริกา
และสหภาพโซเวียต หรือเรียกได้ว่าอยู่ในช่วงของสงครามเย็น ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงปี
1947-1991 โดยสงครามเย็นเป็นการสร้างแสนยานุภาพทางการทหารของประเทศมหาอำนาจทั้งสองฝ่ายในยุโรป
ที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองแตกต่างกัน คือ สหรัฐอเมริกา
ซึ่งปกครองด้วยระบอบเสรีประชาธิปไตย และ สหภาพโซเวียต
ซึ่งปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์
โดยประเทศมหาอำนาจทั้งสองไม่ได้มีการต่อสู้ปะทะกันโดยตรง แต่เป็นการทำสงครามกันทางจิตวิทยา
ได้แก่ การแข่งขันกันสร้างพันธมิตรทางทหาร การแข่งขันทางด้านเทคโนโลยีการทหารและอวกาศ
การแข่งขันด้านอุดมการณ์ และการทำสงครามตัวแทน เป็นต้น
มหกรรมกีฬาโอลิมปิคฤดูร้อนครั้งที่ 20
ก็เป็นหนึ่งในวิธีการที่ประเทศมหาอำนาจทั้งสองฝ่าย
ใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างแสนยานุภาพของประเทศตนเอง เนื่องจากใน 121 ประเทศที่เข้าร่วมแข่งขัน
มี สหภาพโซเวียต และสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมด้วย โดยมหาอำนาจทั้งสองพยายามที่จะแสดงศักยภาพทางด้านกีฬาของประเทศตนเองเพื่อข่มขู่ฝ่ายตรงข้าม
การแข่งขันกีฬาประเภทต่างๆที่มีการปะทะกันระหว่างสหภาพโซเวียต และสหรัฐอเมริกา
จึงเป็นการแข่งขันที่ดุเดือด ดูเหมือนการต่อสู้ทางสงครามมากกว่าเป็นการแข่งขันกีฬาเพื่อกระชับความสัมพันธ์
และเนื่องจากมหกรรมกีฬาโอลิมปิคฤดูร้อนครั้งที่ 20 จัดขึ้นในช่วงของสงครามเย็น
จึงเกิดเหตุการณ์เลวร้ายอันเป็นที่มาแห่งความเศร้าและโศกนาฏกรรมนองเลือดขึ้นสองเหตุการณ์
ในช่วงเวลาที่มีการจัดการแข่งขัน
เหตุการณ์ที่1 เกิดขึ้นในเวลา 04.30 น. ของวันที่ 5 กันยายน 1972
หรือที่เรียกกันว่า เหตุการณ์กันยายนทมิฬ
เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นในขณะที่นักกีฬาของประเทศอิสราเอลกำลังหลับอยู่ในหอพักนักกีฬา
ก็ได้มีผู้ก่อการร้ายชาวปาเลสไตน์จำนวน 8 คน จากกลุ่มกันยายนทมิฬ (Black September) พร้อมอาวุธปืนและระเบิดมือ
บุกเข้าโจมตีหอพักนักกีฬาของอิสราเอล และได้สังหารนักกีฬาอิสราเอลลงทันที 2 คน
จากนั้นก็ได้จับตัวนักกีฬาพร้อมเจ้าหน้าที่จำนวน 9 คนเพื่อเป็นตัวประกัน
ในการเรียกร้องให้อิสราเอลปล่อยนักโทษชาวปาเลสไตน์จำนวน 234 คน
และที่ถูกคุมขังอยู่ที่เยอรมนีอีก 2 คน แต่รัฐบาลอิสราเอลยังคงปฏิเสธ
จึงเกิดการปะทะกัน โดยกลุ่มผู้ก่อการร้ายได้สังหารณ์ตัวประกันทั้ง 9 คน ภายหลังมีกลุ่มผู้ก่อการร้ายเสียชีวิตจากการการปะทะกัน
5 คน และยอมมอบตัว 3 คน โดยเหตุการณ์นี้กลายมาเป็นโศกนาฏกรรมนองเลือด
ในระหว่างการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคฤดูร้อน อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สร้างความหดหู่
ความเศร้าโศกเสียใจให้กับประเทศต่างๆทั่วโลก ธงโอลิมปิคถูกลดลงครึ่งเสา
แสดงความเสียใจตลอดการแข่งขัน ซึ่งนับเป็นเหตุการณ์ที่เศร้าสลดที่สุดในวงการกีฬา
กันยายนทมิฬ
ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของอิสราเอล และเยอรมนี นั้นร้าวฉานลง ล่าสุดเมื่อปี
2012 อิสราเอลได้เผยแพร่เอกสารเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว
ซึ่งประกอบด้วยเอกสารลับและคำให้การจากอดีตหัวหน้าสายลับอิสราเอล
ซึ่งในเอกสารก็ได้ระบุว่า “ตำรวจเยอรมันไม่ได้ใช้ความพยายามแม้แต่น้อยที่จะช่วยชีวิตตัวประกัน
พลแม่นปืนมีเพียงปืนพกสั้น ขณะที่หน่วยช่วยเหลือตัวประกันก็มาถึงล่าช้า” ซึ่งการออกมาเผยแพร่เอกสารดังกล่าวของทางอิสราเอลนั้นแสดงให้เห็นว่า
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของทั้งสองประเทศยังคงร้าวฉาน
อิสราเอลยังคงขุ่นเคืองเยอรมนีอยู่ แม้ว่าเหตุการณ์จะผ่านไปกว่า 43 ปี แล้วก็ตาม
เหตุการณ์ที่ 2 สงครามเย็นในสนามบาสเกตบอล เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงการแข่งขันบาสเกตบอลนัดชิงชนะเลิศ
ระหว่าง สหรัฐอเมริกา และ สหภาพโซเวียต
ซึ่งเป็นประเทศคู่ปรับทางการเมืองกันอยู่ในยุคนั้น หรือเป็นที่รู้จักกันว่า “ยุคแห่งสงครามเย็น” โดยเหตุการณ์โกลาหล วุ่นวาย ต่างๆนั้นได้เกิดขึ้นในช่วงท้ายเกมส์ของการแข่งขัน
ซึ่งเหลือเวลาอีกเพียง 3 วินาที ทางฝ่ายโค้ชของทีมโซเวียตได้ทำการขอเวลานอก
แต่ทว่ากรรมการชาวบราซิลมองไม่เห็น ซึ่งมาเห็นภายหลังเมื่อทางฝ่ายทีมสหรัฐอเมริกา
ได้ชูทลูกแรกผ่านไปแล้ว จึงไม่อนุญาตให้ทางฝ่ายโซเวียตขอเวลานอก เมื่อการแข่งขันจบลง
ผลการแข่งขันในครั้งแรกปรากฏว่าทางสหรัฐอเมริกาได้เป็นแชมป์
แต่ทางโค้ชของทีมโซเวียตไม่ยอมรับผลการแข่งขันในครั้งนี้
จึงเข้าไปประท้วงกับคณะกรรมการควบคุมการแข่งขัน ซึ่งผลการวินิจฉัย
จากทางคณะกรรมการการแข่งขันมีมติ 3 : 2
ให้ย้อนกลับเริ่มนับเวลา 3 วินาทีใหม่
ซึ่งเมื่อทำการย้อนเวลากลับนั้น
ผลการแข่งขันได้พลิกกลับเป็นทางฝ่ายโซเวียตชนะการแข่งขัน
ทำให้สหรัฐอเมริกาไม่ยอมรับการแข่งขัน และไม่ยอมขึ้นแท่นรับเหรียญเงิน
จึงเกิดความวุ่นวายขึ้นภายในสนาม
โดยสาเหตุที่ทางฝ่ายสหรัฐอเมริกาไม่ยอมรับผลการแข่งขันนั้นก็เพราะว่า
ทางฝ่ายสหรัฐอเมริกามองว่าเป็นการรวมหัวกันโกงจากฝ่ายประเทศคอมมิวนิสต์
เพราะคณะกรรมการที่ตัดสินให้กลับเล่นใหม่ 3 เสียงนั้น มาจากประเทศ ฮังการี
โรมาเนีย และ คิวบา ซึ่งเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ฝ่ายเดียวกับโซเวียตทั้งสิ้น
เหตุการณ์ครั้งนี้เรียกได้ว่า เป็นการปะทะกันในรูปแบบของสงครามเย็นระหว่างโลกสองค่าย
กลางสนามบาสเกตบอล ซึ่งกลับกลายมาเป็นความเคลือบแครงใจให้กับผู้คน
ทำให้โอลิมิคฤดูร้อน ณ เมืองมิวนิค
นั้นเป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าจดจำให้กับผู้ที่ชื่นชอบกีฬาบาสเกตบอล และประชากรของทั้งสองประเทศมากยิ่งขึ้น
เหตุการณ์ทั้งสองเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้คณะกรรมการจัดการแข่งขันตระหนักได้ว่า
สิ่งที่จำเป็นที่สุดในการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิค ในอนาคต คือ
การรักษาความปลอดภัย จึงส่งผลให้การจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคในครั้งต่อๆมา
มีการเข้มงวดมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ความอิสระ และความเป็นกันเอง ในระหว่างการแข่งขัน
ของนักกีฬาและผู้ชมนั้นลดน้อยลง
กีฬาเป็นการแข่งขันเพื่อการกระชับความสัมพันธ์ของมิตรภาพ
ในการจัดมหกรรมกีฬาโอลิมิคฤดูร้อน ครั้งที่ 20 นั้น ก็เพื่อให้ทั้ง 121
ประเทศที่เข้าร่วมได้มีโอกาสสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกัน แต่เหตุการณ์อันเลวร้ายเหตุการณ์ทั้งสองเหตุการณ์ส่งผลให้มหกรรมกีฬาโอลิมิคฤดูร้อน
ครั้งที่ 20 ณ เมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนี กลายเป็นมหกรรมกีฬาโอลิมปิค แห่งการปะทะ
นองเลือด
และแย่งชิงอำนาจระหว่างโลกสองค่ายซึ่งมีอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกันมากกว่าจะเป็นการแข่งขันกีฬาเพื่อกระชับความสัมพันธ์ของมิตรภาพ
ส่งผลให้มหกรรมกีฬาโอลิมิคฤดูร้อน ครั้งที่ 20 ณ เมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนี
กลายเป็นความทรงจำอันโหดร้ายของวงการกีฬา ดังนั้นเมื่อกล่าวถึงโอลิมปิคฤดูร้อน
ครั้งที่ 20 ณ เมืองมิวนิก ผู้คนก็จะระลึกถึงโศกนาฏกรรมแห่งความสูญเสีย การปะทะกันในระหว่างการแข่งขันระหว่างประเทศมหาอำนาจยุโรปในยุคของสงครามเย็น
ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่น่าจดจำเป็นอย่างยิ่ง
ที่มา :
http://www.artsmen.net/content/show.php?Category=mythboard&No=3725
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99_1972
http://www.oknation.net/blog/pissit/2008/08/07/entry-1
ขอขอบคุณแหล่งที่มาข้างต้นมา ณ ที่นี้ด้วย