วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ปรมาจารย์แห่งเรื่องราวของแดนปลาดิบ !!!

ปรมาจารย์แห่งเรื่องราวของแดนปลาดิบ !!!


แดนปลาดิบหรือ ประเทศญี่ปุ่น เป็นดินแดนที่ใครๆต่างก็รู้จัก เนื่องจากทุกสิ่งทุกอย่างที่รายล้อมอยู่รอบตัวเรานั้นล้วนเกี่ยวข้องกับประเทศญี่ปุ่นทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น รถยนตร์ สิ่งของ เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือแม้แต่ความบันเทิงต่างๆ อย่างเช่น แอนิเมชั่น สิ่งเหล่านี้ฝังรากลึกจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยไปโดยปริยาย จึงไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่นั้นมีความรู้เกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นบ้างพอสมควร หากแต่ใครเล่าจะมีความรู้เกี่ยวกับประเทศญึ่ปุ่นได้ทุกซอกทุกมุมเท่ากับ นัทคุง หรือ ณัฐพงศ์ ไชยวานิชย์ผล คนไทยผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่น จนสามารถคว้ารางวัลสุดยอดแฟนพันธุ์แท้ประเทศญี่ปุ่น จากรายการ แฟนพันธุ์แท้ มาได้เมื่อปี 2013
ณัฐพงศ์ ไชยวานิชย์ผล หรือชื่อเล่นว่า นัท แต่ภายหลังเริ่มรู้จักกันในนามของ นัทคุง เนื่องจากมีความรอบรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นมาก
นัทคุง เกิดและเติบโตขึ้นในครอบครัว ไชยวานิชย์ผล ซึ่งอาศัยอยู่ในจังหวัดขอนแก่น ช่วงชีวิตในวัยเรียนของเขาผูกพันธุ์อยู่กับมหาวิทยาลัยขอนแก่น เริ่มตั้งแต่สมัยมัธยม เขาเข้าศึกษาที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น และเมื่อจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายก็ได้เข้าศึกษาต่อที่ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เอกวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และภายหลังจากการเดินทางไปสัมผัสกับประเทศญี่ปุ่นด้วยตนเอง ทำให้เขาหลงใหลมนต์เสน่ห์ของประเทศญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก จึงตัดสินใจไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นเป็นเวลาสามปี่ครึ่ง
ด้านชีวิตครอบครัว นัทคุง ได้แต่งงานกับสาวชาวญี่ปุ่น ทำให้คนที่รอบรู้ไปทุกซอกทุกมุมของประเทศญี่ปุ่นอย่างเขานั้น ยิ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นมากขึ้นไปอีก
ด้วยประสบการณ์ความรู้ด้านต่างๆเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นที่ นัทคุง ได้สั่งสมมา ทำให้เมื่อปี 2013 เขาคว้ารางวัลสุดยอดแฟนพันธ์แท้ประเทศญี่ปุ่น จากรายการแฟนพันธุ์แท้มาได้ ทำให้หน้าที่การงานของเขาก้าวหน้ามากขึ้นไปอีก จากที่เคยทำงานเป็นล่าม และทำงานอยู่ในแวดวงการศึกษาอยู่ที่ญี่ปุ่น เขาก็ได้รับการติดต่อจากสำนักพิมพ์แซลมอน ให้เขียนหนังสือให้ความรู้เกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่น และด้วยลักษณะนิสัยเฉพาะตัวของเขา ที่เขาให้คำจัดกัดความกับมันว่า เกรียนที่ถ่ายทอดออกมาผ่านตัวหนังสือ ทำให้เขามีงานเขียนออกมาถึง 3 เล่ม กับทางสำนักพิมพ์แซลมอน คือ JAPAN DID , เอ๊ะ!! เจป๊อป A GUIDE TO JAPANESE POPULATION , เอ๊ะ! เจแปน Exclusive Scoop on Japanese
แต่ก่อนที่ นัทคุง จะได้ชื่อว่า ปรมาจารย์แดนปลาดิบนี้ ใครเล่าจะรู้ว่าเขาต้องพบเจอกับอุปสรรคในการเรียนภาษาญี่ปุ่นมาก่อน นั่นคือ เขาเคยติด F ในรายวิชาภาษาญี่ปุ่นในขณะที่ศึกษาอยู่ที่คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น แต่เขาก็ไม่เคยเลิกล้มความตั้งใจที่จะศึกษาเรียนรู้ในสิ่งที่ตนเองรัก ยังคงสนใจเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่น และหาช่องทางให้ตนเองได้มีโอกาสไปศึกษาต่อ ณ ที่แห่งนั้น จนในที่สุดก็สามารถสำเร็จการศึกษาได้ในระยะเพียงสามปีครึ่ง
นัทคุง ถือเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับคนรุ่นใหม่ เพราะเขาชอบอะไรก็เรียนรู้สิ่งนั้นอย่างเต็มที่ โดยไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่เข้ามาขัดขวางในขณะที่เขาลงมือที่จะศึกษาเรียนรู้สิ่งเหล่านั้น จนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในสิ่งที่ตนเองสนใจในที่สุด

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ณัฐพงศ์ ไชยวานิชย์ผล.   Japan Did. กรุงเทพฯ แซลมอน, 2556
                                   ณัฐพงศ์ ไชยวานิชย์ผล  เอ๊ะ !! เจป๊อป A GUIDE TO JAPANESE POPULATION. กรุงเทพฯ แซลมอน เฮ้าส์, 2557



วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2558

โศกนาฏกรรมนองเลือด ณ เมืองมิวนิก ในระหว่างมหกรรมกีฬาโอลิมิคฤดูร้อน ครั้งที่ 20


เมื่อกล่าวถึงมหกรรมกีฬาโอลิมปิคฤดูร้อน เชื่อว่าหลายคนคงจะนึกถึงการแข่งขันกีฬากระชับมิตรระหว่างประเทศต่างๆที่เข้าร่วมการแข่งขัน หรือบางคนอาจจะตั้งหน้าตั้งตารอคอยเชียร์กีฬาที่ตนเองชื่นชอบ แต่จะมีใครคาดคิดเล่าว่า มหกรรมกีฬาโอลิมปิคฤดูร้อนครั้งที่ 20 ปี 1972 ที่จัดขึ้น ณ เมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนี (หรือที่เรียกกันว่าเยอรมนีตะวันตกในขณะนั้น) จะกลายมาเป็นโศกนาฏกรรมนองเลือด  โอลิมปิคแห่งความเศร้า อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์โอลิมปิค
มหกรรมกีฬาโอลิมปิคฤดูร้อนครั้งที่ 20 ปี 1972 นั้นเป็นมหกรรมกีฬาที่จัดขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่2 เป็นช่วงที่สถานการณ์ในยุโรปตกอยู่ในสภาวะของความตึงเครียด อันเป็นผลจากความเสียหายมาจากสงครามโลกครั้งที่2 และความกดดันทางการเมืองที่เกิดจากประเทศมหาอำนาจ 2 ฝ่าย คือ สหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียต หรือเรียกได้ว่าอยู่ในช่วงของสงครามเย็น ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงปี 1947-1991 โดยสงครามเย็นเป็นการสร้างแสนยานุภาพทางการทหารของประเทศมหาอำนาจทั้งสองฝ่ายในยุโรป ที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองแตกต่างกัน คือ สหรัฐอเมริกา ซึ่งปกครองด้วยระบอบเสรีประชาธิปไตย และ สหภาพโซเวียต ซึ่งปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ โดยประเทศมหาอำนาจทั้งสองไม่ได้มีการต่อสู้ปะทะกันโดยตรง แต่เป็นการทำสงครามกันทางจิตวิทยา ได้แก่ การแข่งขันกันสร้างพันธมิตรทางทหาร การแข่งขันทางด้านเทคโนโลยีการทหารและอวกาศ การแข่งขันด้านอุดมการณ์ และการทำสงครามตัวแทน เป็นต้น
มหกรรมกีฬาโอลิมปิคฤดูร้อนครั้งที่ 20 ก็เป็นหนึ่งในวิธีการที่ประเทศมหาอำนาจทั้งสองฝ่าย ใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างแสนยานุภาพของประเทศตนเอง เนื่องจากใน 121 ประเทศที่เข้าร่วมแข่งขัน มี สหภาพโซเวียต และสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมด้วย โดยมหาอำนาจทั้งสองพยายามที่จะแสดงศักยภาพทางด้านกีฬาของประเทศตนเองเพื่อข่มขู่ฝ่ายตรงข้าม การแข่งขันกีฬาประเภทต่างๆที่มีการปะทะกันระหว่างสหภาพโซเวียต และสหรัฐอเมริกา จึงเป็นการแข่งขันที่ดุเดือด ดูเหมือนการต่อสู้ทางสงครามมากกว่าเป็นการแข่งขันกีฬาเพื่อกระชับความสัมพันธ์ และเนื่องจากมหกรรมกีฬาโอลิมปิคฤดูร้อนครั้งที่ 20 จัดขึ้นในช่วงของสงครามเย็น จึงเกิดเหตุการณ์เลวร้ายอันเป็นที่มาแห่งความเศร้าและโศกนาฏกรรมนองเลือดขึ้นสองเหตุการณ์ ในช่วงเวลาที่มีการจัดการแข่งขัน
เหตุการณ์ที่1 เกิดขึ้นในเวลา 04.30 น. ของวันที่ 5 กันยายน 1972 หรือที่เรียกกันว่า เหตุการณ์กันยายนทมิฬ เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นในขณะที่นักกีฬาของประเทศอิสราเอลกำลังหลับอยู่ในหอพักนักกีฬา ก็ได้มีผู้ก่อการร้ายชาวปาเลสไตน์จำนวน 8 คน จากกลุ่มกันยายนทมิฬ (Black September) พร้อมอาวุธปืนและระเบิดมือ บุกเข้าโจมตีหอพักนักกีฬาของอิสราเอล และได้สังหารนักกีฬาอิสราเอลลงทันที 2 คน จากนั้นก็ได้จับตัวนักกีฬาพร้อมเจ้าหน้าที่จำนวน 9 คนเพื่อเป็นตัวประกัน ในการเรียกร้องให้อิสราเอลปล่อยนักโทษชาวปาเลสไตน์จำนวน 234 คน และที่ถูกคุมขังอยู่ที่เยอรมนีอีก 2 คน แต่รัฐบาลอิสราเอลยังคงปฏิเสธ จึงเกิดการปะทะกัน โดยกลุ่มผู้ก่อการร้ายได้สังหารณ์ตัวประกันทั้ง 9 คน ภายหลังมีกลุ่มผู้ก่อการร้ายเสียชีวิตจากการการปะทะกัน 5 คน และยอมมอบตัว 3 คน โดยเหตุการณ์นี้กลายมาเป็นโศกนาฏกรรมนองเลือด ในระหว่างการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคฤดูร้อน อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สร้างความหดหู่ ความเศร้าโศกเสียใจให้กับประเทศต่างๆทั่วโลก ธงโอลิมปิคถูกลดลงครึ่งเสา แสดงความเสียใจตลอดการแข่งขัน ซึ่งนับเป็นเหตุการณ์ที่เศร้าสลดที่สุดในวงการกีฬา
กันยายนทมิฬ ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของอิสราเอล และเยอรมนี นั้นร้าวฉานลง ล่าสุดเมื่อปี 2012 อิสราเอลได้เผยแพร่เอกสารเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว  ซึ่งประกอบด้วยเอกสารลับและคำให้การจากอดีตหัวหน้าสายลับอิสราเอล ซึ่งในเอกสารก็ได้ระบุว่า ตำรวจเยอรมันไม่ได้ใช้ความพยายามแม้แต่น้อยที่จะช่วยชีวิตตัวประกัน พลแม่นปืนมีเพียงปืนพกสั้น ขณะที่หน่วยช่วยเหลือตัวประกันก็มาถึงล่าช้า ซึ่งการออกมาเผยแพร่เอกสารดังกล่าวของทางอิสราเอลนั้นแสดงให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของทั้งสองประเทศยังคงร้าวฉาน อิสราเอลยังคงขุ่นเคืองเยอรมนีอยู่ แม้ว่าเหตุการณ์จะผ่านไปกว่า 43 ปี แล้วก็ตาม
เหตุการณ์ที่ 2 สงครามเย็นในสนามบาสเกตบอล เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงการแข่งขันบาสเกตบอลนัดชิงชนะเลิศ ระหว่าง สหรัฐอเมริกา และ สหภาพโซเวียต ซึ่งเป็นประเทศคู่ปรับทางการเมืองกันอยู่ในยุคนั้น หรือเป็นที่รู้จักกันว่า ยุคแห่งสงครามเย็นโดยเหตุการณ์โกลาหล วุ่นวาย ต่างๆนั้นได้เกิดขึ้นในช่วงท้ายเกมส์ของการแข่งขัน ซึ่งเหลือเวลาอีกเพียง 3 วินาที ทางฝ่ายโค้ชของทีมโซเวียตได้ทำการขอเวลานอก แต่ทว่ากรรมการชาวบราซิลมองไม่เห็น ซึ่งมาเห็นภายหลังเมื่อทางฝ่ายทีมสหรัฐอเมริกา ได้ชูทลูกแรกผ่านไปแล้ว จึงไม่อนุญาตให้ทางฝ่ายโซเวียตขอเวลานอก เมื่อการแข่งขันจบลง ผลการแข่งขันในครั้งแรกปรากฏว่าทางสหรัฐอเมริกาได้เป็นแชมป์ แต่ทางโค้ชของทีมโซเวียตไม่ยอมรับผลการแข่งขันในครั้งนี้ จึงเข้าไปประท้วงกับคณะกรรมการควบคุมการแข่งขัน ซึ่งผลการวินิจฉัย จากทางคณะกรรมการการแข่งขันมีมติ 3 : 2 ให้ย้อนกลับเริ่มนับเวลา 3 วินาทีใหม่  ซึ่งเมื่อทำการย้อนเวลากลับนั้น ผลการแข่งขันได้พลิกกลับเป็นทางฝ่ายโซเวียตชนะการแข่งขัน ทำให้สหรัฐอเมริกาไม่ยอมรับการแข่งขัน และไม่ยอมขึ้นแท่นรับเหรียญเงิน จึงเกิดความวุ่นวายขึ้นภายในสนาม โดยสาเหตุที่ทางฝ่ายสหรัฐอเมริกาไม่ยอมรับผลการแข่งขันนั้นก็เพราะว่า ทางฝ่ายสหรัฐอเมริกามองว่าเป็นการรวมหัวกันโกงจากฝ่ายประเทศคอมมิวนิสต์ เพราะคณะกรรมการที่ตัดสินให้กลับเล่นใหม่ 3 เสียงนั้น มาจากประเทศ ฮังการี โรมาเนีย และ คิวบา ซึ่งเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ฝ่ายเดียวกับโซเวียตทั้งสิ้น เหตุการณ์ครั้งนี้เรียกได้ว่า เป็นการปะทะกันในรูปแบบของสงครามเย็นระหว่างโลกสองค่าย กลางสนามบาสเกตบอล ซึ่งกลับกลายมาเป็นความเคลือบแครงใจให้กับผู้คน ทำให้โอลิมิคฤดูร้อน ณ เมืองมิวนิค นั้นเป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าจดจำให้กับผู้ที่ชื่นชอบกีฬาบาสเกตบอล และประชากรของทั้งสองประเทศมากยิ่งขึ้น
เหตุการณ์ทั้งสองเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้คณะกรรมการจัดการแข่งขันตระหนักได้ว่า สิ่งที่จำเป็นที่สุดในการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิค ในอนาคต คือ การรักษาความปลอดภัย จึงส่งผลให้การจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคในครั้งต่อๆมา มีการเข้มงวดมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ความอิสระ และความเป็นกันเอง ในระหว่างการแข่งขัน ของนักกีฬาและผู้ชมนั้นลดน้อยลง
กีฬาเป็นการแข่งขันเพื่อการกระชับความสัมพันธ์ของมิตรภาพ ในการจัดมหกรรมกีฬาโอลิมิคฤดูร้อน ครั้งที่ 20 นั้น ก็เพื่อให้ทั้ง 121 ประเทศที่เข้าร่วมได้มีโอกาสสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกัน แต่เหตุการณ์อันเลวร้ายเหตุการณ์ทั้งสองเหตุการณ์ส่งผลให้มหกรรมกีฬาโอลิมิคฤดูร้อน ครั้งที่ 20 ณ เมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนี กลายเป็นมหกรรมกีฬาโอลิมปิค แห่งการปะทะ นองเลือด และแย่งชิงอำนาจระหว่างโลกสองค่ายซึ่งมีอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกันมากกว่าจะเป็นการแข่งขันกีฬาเพื่อกระชับความสัมพันธ์ของมิตรภาพ ส่งผลให้มหกรรมกีฬาโอลิมิคฤดูร้อน ครั้งที่ 20 ณ เมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนี กลายเป็นความทรงจำอันโหดร้ายของวงการกีฬา ดังนั้นเมื่อกล่าวถึงโอลิมปิคฤดูร้อน ครั้งที่ 20 ณ เมืองมิวนิก ผู้คนก็จะระลึกถึงโศกนาฏกรรมแห่งความสูญเสีย การปะทะกันในระหว่างการแข่งขันระหว่างประเทศมหาอำนาจยุโรปในยุคของสงครามเย็น ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่น่าจดจำเป็นอย่างยิ่ง

 ที่มา : 
 http://www.artsmen.net/content/show.php?Category=mythboard&No=3725

 https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99_1972

 http://www.oknation.net/blog/pissit/2008/08/07/entry-1

ขอขอบคุณแหล่งที่มาข้างต้นมา ณ ที่นี้ด้วย



วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

นิราศสนามจันทร ์

นิราศสนามจันทร์ 





จากดินแดนถิ่นฐานรังบินหลา 
เดินเข้ามาสู่นครปฐม
หวังวิชาความรู้เป็นดาบคม 
หวังสั่งสมวิชาเลี้ยงครอบครัว
พ่อแม่ให้เงินส่งเสียมาเล่าเรียน 
ให้ลูกเพียรเรียนจบไม่ต้องกลัว
พ่อแม่บอกส่งได้ยังมีกำลัง 
ลูกได้ฟังใช้เงินไม่ค่อยระวัง
เวลาว่างหาสิ่งที่เพิ่มพลัง 
มือนั้นพลั้งจองแต่ตั๋วเครื่องบิน 
จากแผ่นดินทะยานสู่ทัองฟ้า
ชั่วโมงครึ่งถึงที่รังบินหลา 
สองสามวันก็ยังคิดจะมา 
แต่เมื่อถึงเวลากลับสิบวัน 
ตั๋วเครื่องมันแพงเกินกำลัง 
แต่ก็ยังอยากกลับถิ่นประเทศใต้
รถทัวร์ก็แล้วกันนะแม่จ๋า 
ใช้เวลานานหน่อยแต่ได้กลับ 



กลอนนี้แต่งขึ้นเล่นๆ ถึงแม้ว่าจะไม่ไพเราะเสนาะหูเท่าไรนัก อีกทั้งสัมผัสก็ไม่ค่อยจะถูกต้องตามฉันทลักษณ์ แต่ก็แต่งขึ้นมาจากใจของเด็กใต้คนหนึ่งที่ต้องจากบ้านไปเรียนไกลถึงนครปฐม ความคิดถึงบ้าน ความอยากกลับบ้านก็ทำให้เขานั้นใช้เงินฟุ่มเฟือยไปกับตั๋วเครื่องบินกลับบ้าน ด้วยระยะทางที่ห่างไกลกันมากทำให้การเดินทางโดยเครื่องบินเห็นจะเป็นทางที่สะดวกและรวดเร็วที่สุดสำหรับเขา แต่เมื่อเศรษฐกิจนั้นย่ำแย่ ราคาตั๋วก็สูงขึ้น การนั่งเครื่องบินกลับบ้านอย่างที่เคยทำเห็นทีจะไม่ได้ เพราะอุปสรรคทางการเงิน แต่ด้วยความคิดถึงบ้านเขาจึงจำต้องนั่งรถทัวร์กลับบ้านเพื่อมาพบกับครอบครัว ถึงแม้ว่าการนั่งรถทัวร์นั้นจะใช้เวลานาน และลำบากมากสำหรับข้าวของพะรุงพะรัง และเด็กผู้ญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง แต่เขาก็ยังกลับมาเพื่อพบกับครอบครัว....

ปล.กลอนนี้แต่งขึ้นเพื่อฝึกพั ฒนาการเขียนของผ ู้ เขียนเท่านั้ น ิ หาก ผิ ดพลาด ประการใดต้องขออภัยว้ ณ  ที่นี้ด้วยค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

อะไรเอ่ย ที่ไทยควรอนุรักษ์ ?

ภาษาไทยวัฒนธรรมไทยที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์



                วัฒนธรรมเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ หากชาติใดไร้ซึ่งวัฒนธรรมเป็นของตนเอง แล้วชาตินั้นจะคงความเป็นชาติไว้ได้อย่างไร ไทยเป็นชาติที่โชคดีเพราะมีวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติที่หลากหลาย และวัฒนธรรมของไทยที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้มากที่สุดในทัศนะของข้าพเจ้าก็คือ ภาษาไทย
                เนื่องจาก ภาษาไทย คือ มรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าที่บรรพบุรุษได้สร้างสรรค์ไว้ และเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าไทยเป็นชาติที่มีวัฒนธรรมอันสูงส่งมาตั้งแต่สมัยโบราณ ดังนั้นภาษาไทยจึงมีความสำคัญในฐานะเป็นเอกลักษณ์ประชาติ ก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ เป็นเครื่องมือในการสื่อสารสร้างสัมพันธภาพระหว่างคนในชาติ นอกจากนั้นภาษาไทยยังมีความสำคัญในฐานะเป็นตัวเสริมสร้างบุคลิกภาพที่แสดงถึงความเป็นไทย และยังเป็นตัวส่งเสริมวัฒนธรรมไทยอื่นๆให้เจริญขึ้นอีกด้วย แต่เนื่องด้วยกาลเวลาที่แปรเปลี่ยนส่งผลให้เทคโนโลยีต่างๆในยุคไร้พรหมแดนเจริญก้าวหน้าขึ้นอย่างไม่มีขีดจำกัด คนรุ่นใหม่หันไปให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีเหล่านั้น จนลืมให้ความสำคัญกับภาษาไทย ปล่อยให้ภาษาไทยถูกกลืนหายไปพร้อมกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเหล่านั้น สังเกตได้จากปัจจุบันคนไทยเริ่มใช้ภาษาไทยไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการเขียน การอ่าน หรือแม้แต่การพูด ซึ่งสาเหตุการใช้ภาษาไทยไม่ถูกต้องเหล่านี้ ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มวัยรุ่นที่ใช้สื่อออนไลน์ทาง Internet ที่ต้องการประหยัดเวลาในขณะพิมพ์ จึงตัดคำให้สั้นลง หรือเขียนสะกดคำแบบผิดๆ เป็นเหตุให้คำเหล่านั้นแพร่หลายจนกลายเป็นปัญหาสำคัญของการใช้ภาษาไทยในปัจจุบัน ดังนั้นการอนุรักษ์ภาษาไทยจึงเป็นสิ่งสำคัญที่คนไทยทุกคนควรให้ความสำคัญ เพราะหากคนไทยใช้ภาษาไทยไม่ถูกต้องก็จะส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆตามมา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความเข้าใจที่ไม่ตรงกันในระหว่างการสื่อสาร ปัญหาการถ่ายทอดวัฒนธรรมต่างๆผิดเพี้ยนไป และปัญหาวัฒนธรรมไทยอื่นๆไม่สามารถพัฒนาให้เจริญก้าวหน้าขึ้นหรืออนุรักษ์ให้คงอยู่สืบไปได้ แต่หากคนไทยทุกคนช่วยกันอนุรักษ์ภาษาไทย ใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง ปัญหาเหล่านั้นก็จะหมดไป ไทยก็จะเป็นชาติที่มีความโดดเด่นทางวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมทางภาษาหรือวัฒนธรรมอื่นๆอันเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติที่ชาติอื่นต่างก็ต้องยกย่องชื่นชมถึงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของความเป็นไทย

                ดังนั้น ภาษาไทยคือสมบัติทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าที่สามารถแสดงถึงเอกลักษณ์ของความเป็นไทยได้เป็นอย่างดี ดังเช่น บทประพันธ์กลอน๘ เรื่องภาษาไทย ของ ศาสตราจารย์ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ใน๒วรรคแรก ที่ว่า  ในโลกนี้มีอะไรเป็นไทยแท้ ของไทยแน่นั้นหรือคือภาษาและ ๒ วรรคสุดท้าย ที่ว่า    เกิดเป็นไทยคนหนึ่งเราจึงมี ของดีดีชื่อว่า ภาษาไทย ซึ่งบทประพันธ์ ๔ วรรคนี้ สามารถแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของภาษาไทยได้มากที่สุด 



บทความนี้เคยส่งประกวดในโครงการ The 39th 2014 World Youth Rally” ของทางสมาคมบ้านเยาวชนแห่งประเทศไทย (Hostelling International Thailand) ร่วมกับทางสมาคมบ้านเยาวชนแห่งประเทศเกาหลี (Hostelling International Korea) และผ่านการคัดเลือกได้เข้าร่วมโครงการทัศนะศึกษา ณ ประเทศเกาหลีใต้ ประเภท 6 วัน มาแล้ว แต่น่าเสียดายที่ผู้เขียนติดธุระทางบ้าน จึงไม่ได้ไปเข้าร่วมโครงการ ดังกล่าว